ธรรมอารี Dhamma Aree - พระมหาวรพรต กิตฺติวโร -

"..ชีวิตนี้ก็ไม่ได้ยืนยาวนะ เราเองก็ควรที่จะดูหมิ่นชีวิตนั้นว่ามันสั้นนั่นเอง ก็ทำตนให้เหมือนคนที่เขามีไฟลุกท่วมหัวอยู่ตลอดเวลา ก็ใช้ชีวิตให้เห็นว่าสิ่งที่เราจะกระทำมันสำคัญจริงนะกับการที่จะเอาเวลามารู้แจ้งอริยสัจ 4 ไปแลกกับเขาแลกกับไฟที่กำลังไหม้หัวอยู่

ความตายที่จะไม่มาถึงมันก็ไม่มี ก็ให้ระลึกลงไปนะว่าความตายก็มีได้อยู่ตลอดเวลา

ก็ทีนี้ถ้าเราใช้ชีวิตให้มันเข้าเกณฑ์กับบุคคลท่านแรก ซึ่งท่านนี้เองพระพุทธองค์ท่านก็บอกว่าท่านนี้เขาก็คือมาร มารก็คืออะไรก็ตามแล้วกันก็ไม่ได้เป็นตัวเป็นตนอะไรหรอก ถ้าเทียบกับมารเนี่ยพระพุทธองค์ก็บอกว่ามี 5 อย่างด้วยกัน เป็นสิ่งที่เรียกว่าเป็นขันธมารบ้าง เป็นกิเลสบ้าง เป็นเทวบุตรมารบ้าง นี้ก็เป็นเรื่องราวอะไรที่ไม่ได้ตรัสไว้ในพระไตรปิฎกนะ แต่ถ้าพูดกันให้ง่ายๆไว้ก่อน ให้จับต้องได้เลย มันก็มีแค่ฟากหนึ่งยังต้องทนทุกข์อยู่ ยังอยู่ในเหตุของทุกข์อยู่ ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ อีกฟากหนึ่งก็เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอนก็เป็นอะไรที่มันจะทำให้ทุกข์หายไปจากจิตใจ มีอยู่เท่านี้นะ

เราใช้ชีวิตอย่างไรให้มันทุกข์ วางจิตอย่างไรแล้วทุกข์มันเกิด การเวียนว่ายตายเกิดมันไม่จบ ซึ่งถ้าเราเลือกเส้นทางได้ก็ฟังสิ่งที่พระพุทธองค์ท่านตรัสสอนดีกว่า เพราะว่าท่านสอนขึ้นมาเนี่ยก็ให้รู้ไปเลยว่าทุกข์นั้นหายไปแน่ๆ ทีนี้เราก็พอจะเข้าใจกันได้ แต่ว่าในเวลาการปฏิบัติในแต่ละช่วงขณะจิตมันก็จะเอนเอียงไปในฝั่งของสิ่งที่เรียกว่ายังเป็นเหตุให้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ แม้เราจะเข้าใจเองได้ก็ตามนะว่าชีวิตนี้ไม่ยืนยาวแต่การปฏิบัติเรากระทำเหมือนชีวิตนี้มันยืนยาวน

"...วันนี้ก็ได้ฟังโอวาทธรรมจากองค์หลวงปู่มั่น ไล่ไปตั้งแต่บทที่ 1-2-3-4-5

บทที่ 1 ก็เกี่ยวกับการปฏิบัติ การปฏิบัติเพื่อยังพระสัทธรรม
บทที่ 2 เรื่องของการฝึกตน
บทที่ 3 เกี่ยวกับต้นทุนนะ เวลาจะฝึกก็ต้องมีต้นทุนคือกาย
บทที่ 4 ก็จะเกี่ยวกับมูลฐานสำหรับการปฏิบัติ มีกายก็ต้องมีใจด้วย
บทที่ 5 มูลเหตุสิ่งทั้งปวง สิ่งทั้งหลายในสากลโลกกระทะล้วนเกิดมาแต่เหตุ มูลเหตุดั้งเดิมของสารวัฏ
บทที่ 6 มูลตันไต มูลเหตุดั้งเดิมของสังสารวัฏ

เป็นธรรมะที่ลึกซึ้งนะ..."

…………………………

ถ่ายทอดธรรมโดย
พระวรินทร นิทฺทโร
ณ สวนธรรมอารี จ.พระนครศรีอยุธยา
ค่ำ 08 มิถุนายน 2567

ติดตามธรรมะเพิ่มเติมได้ที่
Facebook ช่องทางสื่อสารหลัก : https://www.facebook.com/dhammaaree
Facebook ข่าวสารประชาสัมพันธ์ : https://www.facebook.com/dhammaareefoundation
YouTube คลังวิดีโอ : https://www.youtube.com/@dhamma_aree
Instagram คลังภาพ : https://www.instagram.com/dhamma_aree/
SoundCloud คลังเสียง : https://soundcloud.com/dhamma_aree
LineGroup สอบถามการปฏิบัติทั่วไป : https://bit.ly/3Fxu8Ol
LineOA ช่วยเหลือติดขัดสภาวธรรม : https://lin.ee/pXSQeyZ
Website ธรรมอารี :http://www.dhammaaree.com
TikTok ธรรมอารี : https://www.tiktok.com/@dhamma.aree

"..โลกธรรมทั้ง 8 : มีลาภ-เสื่อมลาภ มียศ-เสื่อมยศ มีสรรเสริญ-มีนินทา มีสุข-มีทุกข์

ยังอยู่ในโลกก็ไม่พ้นหรอกนะ เป็นธรรมดาของโลกไปเลย ไม่ใช่ว่าให้ไปยินดียินร้าย ไปชอบไปรังเกียจอะไรกับสิ่งที่มีอยู่ในโลกนะ แต่ถ้าเราเข้าใจ เขาจะมีก็มีไปนะตามปกติ เกิดขึ้นมาตามเหตุปัจจัย มีไปก็เท่านั้นใจเราจะไปทุกข์อะไรกับเขา มีสุขก็ไม่ใช่ว่าไปยินดี มีทุกข์ก็ไม่ใช่ไปยินร้ายกับเขา แม้แต่มีเสียงสรรเสริญเองก็ตาม ถ้าหลงไปยินดีกับเขาเนี่ยใจฟูไปเลย ใจฟูไปเดี๋ยวสักพักหนึ่ง ตอนเขาด่ามันจะเหี่ยวไปเอง บางทีมันเหี่ยวแรงกว่าตอนปกติอีกนะ

ก็ต้องค่อย ๆ สังเกตกันก่อนว่าถ้าแม้แต่เรื่องนินทาแม้แต่พระพุทธองค์ท่าน เป็นผู้ที่บำเพ็ญพุทธกิจเพื่อประโยชน์แก่หมู่สัตว์ก็ยังไม่พ้นนะเรื่องที่ยังอยู่ในการนินทาก็ให้รู้ว่าเป็นธรรมดานะ แม้แต่ว่าผู้ที่สละตนแบบนั้นยังไม่พ้นเลย แล้วเราจะไปเอาอะไรกับเราล่ะที่ยังต้องอาศัยในวิถีชีวิตอยู่กับการครองเรือนอยู่บ้าง แม้แต่เป็นนักบวชเองท่านยังโดนเลยนะ เป็นขนาดถึงเป็นพระพุทธเจ้าที่บำเพ็ญอุทิศประโยชน์กับผู้อื่นก็ให้เราเข้าใจไว้ก่อนว่าก็เป็นเรื่องธรรมดาแล้วกัน เราจะได้เรียนรู้และทำความเข้าใจกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตเราได้.."

…………………………

ถ่ายทอดธรรมโดย
พระชยากร ภทฺทธมฺโม
ณ สวนธรรมอารี จ.พระนครศรีอยุธยา
เช้า 08 มิถุนายน 2567

#โลกธรรม #ถูกว่าร้ายนินทา #คุณสมบัติอุบาสกอุบาสิกา #พระชยากร #ธรรมอารี

ติดตามธรรมะเพิ่มเติมได้ที่
Facebook ช่องทางสื่อสารหลัก : https://www.facebook.com/dhammaaree
Facebook ข่าวสารประชาสัมพันธ์ : https://www.facebook.com/dhammaareefoundation
YouTube คลังวิดีโอ : https://www.youtube.com/@dhamma_aree
Instagram คลังภาพ : https://www.instagram.com/dhamma_aree/
SoundCloud คลังเสียง : https://soundcloud.com/dhamma_aree
LineGroup สอบถ

" #การปฏิบัติเป็นเครื่องยังพระสัทธรรมให้บริสุทธิ์

..หลวงปู่มั่นก็ให้ความสำคัญกับการปฏิบัตินะ เพราะการปฏิบัตินี่แหละจะเป็นการหยั่งพระสัทธรรม ปฏิบัติ คือ เจริญอริยมรรคมีองค์ 8 เจริญสติปัฏฐาน 4

สมมติว่า พวกเราได้ยินได้ฟังที่พระศาสดาท่านตรัสว่า กายนี้กับใจนี้ไม่ใช่ของเรา สมมติได้ยินพระสัทธรรมแล้ว มันมีความรู้สึกค้านในใจไหม ? หรือว่าได้ยิน ..สรรพสิ่งเป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตน แล้วนี่ใคร ? ใครนั่งอยู่ ไม่ใช่เรามานั่งฟังธรรมหรอ ไม่ใช่เรามาเพียรอยู่หรอ ไม่ใช่เราเข้ามาศึกษาธรรมะหรอ แล้วที่ได้ยินได้ฟังไม่ใช่เราเข้าใจหรอ เวลาพระสัทธรรมเข้าไป ปุถุชนจะยังมี “เรา” อยู่ที่จะบังความจริง ความรู้สึกนี้แข็งแรงฝังรากลึกเลย

รากเหง้าก็มาจากความไม่รู้ในอริยสัจ ความเห็นตรงนี้ที่เรียกว่า “ทิฏฐุปาทาน” แข็งแรงมาก ถ้าในเรื่องของกิเลส อาสวะเรียกว่า “ทิฏฐานุสัย” ความเห็นว่าเรา ตระกูลของสังโยค ก็เรียกว่า “สักกายทิฏฐิ” เห็นว่ากายนี้เป็นเราเป็นของเรา

เวลาได้ยินได้ฟังมันจะถูกสิ่งนี้สกรีนก่อน เวลาฟังธรรมะ จะถูกสิ่งนี้สกรีน มีฟิลเตอร์กรอง กลายเป็นเราเข้าใจแล้ว จริงๆแล้วไม่เข้าใจนะ จะเข้าใจผ่านเรา

ดังนั้นการปฏิบัติเป็นแก่นสำคัญนะ เพราะถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติ ไม่ได้ชำระกิเลส หลวงปู่มั่นท่านจะให้ความสำคัญกับการกำจัดกะปอมกิ้งก่า คือกิเลส เพราะว่ากิเลสยิ่งมีกำลังมาก จำทำให้ความมีตัวมีตนนี้แข็งแรงมาก เมื่อความมีตัวตนแข็งแรงความเห็นผิดก็ยิ่งแข็งแรง..

…………………………

ถ่ายทอดธรรมโดย
พระวรินทร นิทฺทโร
ณ สวนธรรมอารี จ.พระนครศรีอยุธยา
ค่ำ 07 มิถุนายน 2567

ติดตามธรรมะเพิ่มเติมได้ที่
Facebook ช่องทางสื่อสารหลัก : https://www.facebook.com/dhammaaree
Facebook ข่าวส

".. หน้าที่ในการประพฤติปฏิบัติ พระพุทธองค์ก็จึงทรงเปรียบเหมือนว่าชาวนา..

กิจของชาวนาที่เขาต้องทำ ก็มีแค่ 3 อย่างเท่านั้นนะ ก็มีแค่ไปไถลาด ทำลายวัชพืชบ้าง ก่อนจะลงเมล็ดพันธุ์ไป เมื่อทำปูพื้นดินไว้ดีก็ค่อยๆลงเมล็ดพันธุ์ไป อันนี้ก็เป็นกิจอันที่ 2 เมื่อลงเมล็ดพันธุ์ไปแล้วที่เหลือก็แค่ควบคุมนะ ระดับปริมาณน้ำ น้ำไม่มากเกินไป น้ำไม่น้อยเกินไป ก็เปิดช่องทางน้ำ ให้น้ำไหลเข้าบ้างน้ำไหลออกบ้าง อันนี้กิจของชาวนานะ

แต่ว่าถ้าชาวนาเขาทำแบบนี้เขาก็ไม่ต้องมาคอยคาดหวังกันนะว่าต้นกล้าที่เขาปลูกไปเนี่ยจะเติบโตในวันไหน จะเก็บเกี่ยวได้ในวันไหน จะสุกได้ในวันไหน ก็ถ้าเขาทำเหตุแบบนี้อยู่ ก็เดี๋ยวต้นกล้ามันก็จะโตเอง พอมันโตไปมันถึงระยะเวลามันก็จะสุกเอง เมื่อมันสุกได้ระยะเวลาที่มันสุกเนี่ย เราก็จะมาเก็บเกี่ยว มันก็มีอยู่แค่นี้นะ มีแต่เหตุที่เกิดขึ้นและดับไป แต่เหตุที่เราควรกระทำก็มีอยู่เพียงเท่านี้

ทีนี้ท่านก็ได้ตรัสกับภิกษุ ก็ให้รู้ไว้ก่อน ถ้าเราดูบริบทกันได้เนี่ยเราก็จะเข้าใจมากขึ้นนะ ในแต่ละพุทธพจน์ที่ท่านได้บอกกล่าวไว้เนี่ยว่าท่านพูดกับใครบ้าง ถ้าท่านพูดกับภิกษุก็ให้รู้เลยว่าเป็นผู้ที่จริงจังกับการปฏิบัติ สละเรือนออกมาแล้วนะ ไม่ได้มีอะไรที่ต้องเกี่ยวข้องกับเรือน เรียกว่าดำเนินชีวิตอยู่ในวิธีของการประพฤติพรหมจรรย์ได้เต็มที่ ท่านก็ได้ตรัสกับภิกษุไว้ว่ากิจของภิกษุก็มีแบบนั้นเหมือนกันนะมีอยู่แค่ 3 อย่างเนี่ย

ก็มีแค่การศึกษาในส่วนของศีล ในส่วนของสมาธิ ในส่วนของปัญญา

ถ้าเราได้ศึกษากันในส่วนนี้ได้นำมาประพฤติปฏิบัติกันอยู่เรื่อยๆ เราก็ไม่ต้องไปตั้งความคาดหวังไว้นะว่าจิตของเ

"...งานหนักมาก เครียดมาก ก็ต้องอาศัยการฝึกการฝืนนะ ให้ใจได้คุ้นกับความสงบไว้มาก ๆ ในบัลลังก์สงบได้ ข้างนอกบัลลังก์มันก็สงบได้ จิตก็เริ่มเรียนรู้

ผัสสะกระทบมา ใจหวั่นไหว เห็นเหตุ นี่ทุกข์ นี่เหตุให้เกิดทุกข์ พอกระทบมาครั้งที่ 2-3-4 จะเริ่มเรียนรู้ที่จะอยู่อย่างสงบ

เจอเรื่องหนัก ๆ มาก็ถือโอกาสมาฟังเทศน์ ฟังธรรม ปฏิบัติธรรมร่วมกัน สร้างความเคยคุ้นให้ใจได้ร่มเย็น พักผ่อน พักใจก่อน..."
…………………………

ถ่ายทอดธรรมโดย
พระวรินทร นิทฺทโร
ณ สวนธรรมอารี จ.พระนครศรีอยุธยา
ค่ำ 06 มิถุนายน 2567

ติดตามธรรมะเพิ่มเติมได้ที่
Facebook ช่องทางสื่อสารหลัก : https://www.facebook.com/dhammaaree
Facebook ข่าวสารประชาสัมพันธ์ : https://www.facebook.com/dhammaareefoundation
YouTube คลังวิดีโอ : https://www.youtube.com/@dhamma_aree
Instagram คลังภาพ : https://www.instagram.com/dhamma_aree/
SoundCloud คลังเสียง : https://soundcloud.com/dhamma_aree
LineGroup สอบถามการปฏิบัติทั่วไป : https://bit.ly/3Fxu8Ol
LineOA ช่วยเหลือติดขัดสภาวธรรม : https://lin.ee/pXSQeyZ
Website ธรรมอารี :http://www.dhammaaree.com
TikTok ธรรมอารี : https://www.tiktok.com/@dhamma.aree