6 ขุดเพชรในพระไตรปิฏก

ในพระไตรปิฏกมีอะไร ทำความเข้าใจไปทีละข้อ, เปิดไปทีละหน้า, ให้จบไปทีละเล่ม, พบกับพระอาจารย์พระมหาไพบูลย์ อภิปุณโณ และ คุณเตือนใจ สินธุวณิก, ล้อมวงกันมาฟัง มั่วสุมกันมาศึกษา จะพบขุมทรัพย์ทางปัญญา ในช่วง "ขุดเพชรในพระไตรปิฏก". New Episode ทุกวันเสาร์ เวลา 05:00, Podcast นี้เป็นส่วนหนึ่งของรายการธรรมะรับอรุณ ออกอากาศทุกวันทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย (สวท.) มีคำถาม/ข้อเสนอแนะ หรือสมัครติดตามฟังทั้ง 7 รายการ ที่ panya.org Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

  1. 4D AGO

    บุญกิริยาวัตถุ [6812-6t]

    ข้อที่ #35_ทานูปปัตติสูตร ว่าด้วยผลที่เกิดจากการให้ทาน บุคคลบางคนในโลกนี้ให้ทานเพราะหวังสิ่งตอบแทน คือหวังการไปเกิดเป็นมนุษย์ผู้เอิบอิ่มพรั่งพร้อมไปด้วยกามคุณ 5 หวังการไปเกิดเป็นเทวดาในชั้นต่าง ๆ ทั้ง 6 ชั้น และหวังการไปเกิดเป็นพรหมในชั้นพรหมกายิกา แล้วด้วยเขาเหล่านั้นเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ จึงได้ตามที่ปรารถนาไว้ แต่ความปรารถนานั้นยังเป็นไปในทางต่ำ กล่าวคือมีความพอใจ มีความข้องอยู่ในภพนั้น จึงไม่อาจเห็นสิ่งที่จะเจริญกว่าหรือพัฒนาให้เจริญยิ่งขึ้นไปได้  *ข้อสังเกต ผู้ที่หวังไปเกิดในชั้นพรหมกายิกา คือนอกจากจะเป็นผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์แล้ว ยังต้องเป็นผู้ที่ปราศจากราคะด้วย ในที่นี้ราคะถูกข่มไว้ด้วยอำนาจของฌาน (สมถะ) มิใช่ด้วยปัญญา ข้อที่ #36_ปุญญกิริยาวัตถุสูตร ว่าด้วยบุญกิริยาวัตถุ คือการบำเพ็ญบุญอันเป็นเหตุให้เกิดอานิสงส์ แบ่งเป็น 3 ประการ คือ บุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยทาน ศีล และภาวนา แล้วนำมาอธิบายได้ 8 นัยยะ โดยทั้ง 8 นัยยะนั้นไม่มีบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จได้ด้วยการภาวนาเลย โดยนัยยะแรกบุญที่เกิดจากทำทานและมีศีลนิดหน่อย ทำให้ได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ผู้โชคร้ายไม่มีอันจะกิน และนัยยะที่ 2 บุญที่สำเร็จได้ด้วยทานและศีลพอประมาณ ทำให้ได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ผู้โชคดี และนัยยะที่ 3-8 บุญที่สำเร็จได้ด้วยทานและศีลอันยิ่ง ทำให้ได้ไปเกิดในสวรรค์ทั้ง 6 ชั้นและได้ความเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยฐานะ 10 ประการในสวรรค์ชั้นนั้น ๆ **ข้อสังเกต การภาวนา คือการพัฒนาหรือการทำให้เจริญ เราสามารถทำทานของเราให้มีอานิสงส์ที่ยิ่งใหญ่ได้ด้วยการให้ทานเพราะเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต ให้จิตเกิดความนุ่มนวลอ่อนเหมาะในการเจริญสมถะและวิปัสสนาเพื่อให้เข้าถึงปัญญาอันสูงสุด ข้อที่ #37_สัปปุริสทานสูตร ว่าด้วยสัปปุริสทาน คือทานของสัตบุรุษ มีลักษณะ 8 ประการด้วยกัน ให้ของสะอาดให้ของประณีตให้เหมาะกาล ให้ถูกเวลาให้ของสมควร ให้ของที่ควรแก่เขา ซึ่งเขาจะใช้ได้พิจารณาเลือกให้ ให้ด้วยวิจารณญาณ เลือกของ เลือกคนที่จะให้ ให้เกิดผลเกิดประโยชน์มากให้เนืองนิตย์ ให้ประจำ หรือสม่ำเสมอเมื่อให้ ทำจิตผ่องใสให้แล้วเบิกบานใจ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๕ [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ทานวรรค Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

    58 min
  2. MAR 14

    การตรัสรู้ธรรมเป็นเหตุสิ้นภพ [6811-6t]

    จตุกกนิบาต ภัณฑคามวรรค หมวดธรรม 4 ประการ ว่าด้วยพุทธกิจในภัณฑคาม เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านภัณฑคาม แคว้นวัชชี อนุพุทธสูตร ว่าด้วยการตรัสรู้ธรรมเป็นเหตุสิ้นภพ ของพระพุทธเจ้าและอนุพุทธะ เพราะการไม่รู้ซึ่งศีล สมาธิ ปัญญา และวิมุต จึงทำให้ต้องเร่ร่อนท่องเที่ยวไป เกิดแล้วเกิดอีก เจอทุกข์แล้วเจอทุกข์อีก วนไป จะไม่เกิดก็ด้วยการรู้ธรรมทั้ง 4 ประการนี้  ปปติตสูตร ว่าด้วยบุคคลผู้ที่ตกหล่นจากธรรมวินัย ก็คือผู้ที่ออกนอกอริยมรรคและวิมุต วิมุตในที่นี้หมายถึงผล นั่นเอง การดับทุกข์ได้เป็นข้อ ๆ เพราะความสมบรูณ์ในข้อนั้น ๆ แล้วค่อยพัฒนาไปตามลำดับ จะเจอแบบทดสอบที่ต่างกันไปในแต่ละข้อ  ปฐมขตสูตรและทุติยขตสูตร ว่าด้วยเหตุให้ตนถูกกำจัด หัวข้อมีความเหมือนกันแต่ต่างกันในรายละเอียด ในปฐมขตสูตร คือ การไม่พิจารณาไม่ไตร่ตรอง ไม่เลื่อมใส หรือเลื่อมใสในบุคคลให้ถูกต้อง เป็นเหตุให้ประสบสิ่งที่ไม่ใช่บุญ ผู้รู้ติเตียน ส่วนในทุติยขตสูตรเหตุที่จะทำให้ตนถูกกำจัด คือ การปฏิบัติผิดในมารดา บิดา ตถาคต และสาวกของตถาคต พระไตรปิฎกเล่มที่ 21 พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ 13 [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ภัณฑคามวรรค Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

    55 min
  3. MAR 7

    ว่าด้วยทาน 8 ประการ [6810-6t]

    ข้อที่ 31 ปฐมทานสูตร เกี่ยวกับลักษณะของการให้ทาน 8 ประการ บางคนให้เมื่อประสบเข้า บางคนให้เพราะกลัวคำตำหนิหรือกลัวนรก บางคนให้เพราะเขาให้แล้วแก่เรา บางคนให้เพราะเขาน่าจะให้เรา บางคนให้เพราะการให้ทานเป็นการดี บางคนให้เพราะเราหุงหาอาหารกินเองได้แต่ชนเหล่านั้นไม่สามารถทำได้ บางคนให้ด้วยคิดว่ากิตติศัพท์อันงามจะขจรไป บางคนให้ด้วยเป็นเครื่องประดับจิตในการเจริญสมถะและวิปัสสนา ผลของการให้เรียงจากน้อยมามากตามลำดับ ข้อที่ 32 ทุติยทานสูตร พูดถึงทานที่เป็นกุศล มี 3 ลักษณะ คือ ศรัทธา หิริ และทานที่เป็นกุศลอันสัตบุรุษดำเนินการแล้ว ทำแล้วได้ไปเทวโลก ที่น่าสังเกตคือมีเพียงสามไม่ใช่แปด จึงน่าจะมาจากคาถาท้ายพระสูตรนั่นเอง ข้อที่ 33 ทานวัตถุสูตร ว่าด้วยทานวัตถุ คือเหตุแห่งการให้ทาน คือบางคนให้เพระรัก เพราะชัง เพราะหลง เพราะกลัว เหล่านี้คืออคติ4 บางคนให้เพราะปู่พ่อเคยให้ บางคนให้เพราะตายแล้วได้ไปสวรรค์ บางคนให้เพราะเกิดความชื่นชมโสมนัส บางคนให้เพราะเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต ข้อที่ 34 เขตตสูตร ว่าด้วยนาดีและนาไม่ดี มีอุปมาอุปไมยที่เหมือนและต่างกันคู่กัน ลักษณะพื้นที่มีความสำคัญต่อผลผลิต เช่นเดียวกันการให้ทานในสมณะที่ดีหรือไม่ดีย่อมมีผลแตกต่างกัน เปรียบมาตามมิจฉามรรคและสัมมามรรค  พระไตรปิฎกเล่มที่ 23 พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ 15 [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกายอัฏฐกนิบาต คหปติวรรค Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

    56 min
  4. FEB 28

    ความเลื่อมใสเฉพาะบุคคล [6809-6t]

    ความเลื่อมใส (ศรัทธา )ที่เรามีอย่างถูกต้องในคุณของพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ แม้จะมีเหตุปัจจัยเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตาม เราก็ย่อมทำการปฏิบัติของเราให้เจริญและงดงามได้ เพราะด้วยศรัทธาที่เราตั้งไว้อย่างถูกต้องแล้ว #ข้อ241-#244 สูตร 1 เป็นธรรมคู่ตรงข้าม ว่าด้วย โทษของทุจริต ทางกาย วาจา และ ใจ (อกุศลกรรมบถ 10) มีโทษ คือ 1) แม้ตนก็ติเตียนตนเองได้ 2) ผู้รู้ย่อมติเตียน 3) กิตติศัพท์อันชั่วย่อมกระฉ่อนไป 4) หลงลืมสติตาย 5) ตายแล้วไปเกิดในอบาย นรก #ข้อ245-#248 สูตร 2 จะมีไส้ในเหมือนกับสูตร 1 แต่มีความแตกต่างในตอนท้าย คือไส้ในของข้อที่ 4 เสื่อมจากสัทธรรม และข้อที่ 5 ตั้งอยู่ในอสัทธรรม #ข้อ249_สีวถิกสูตร ว่าด้วยป่าช้า เป็นธรรมที่อุปมาอุปไมยป่าช้ากับคน คือ บุคคลที่ประกอบด้วยอกุศลกรรมบถ 10 ย่อมไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็น (ชื่อเสีย) มีภัย (ไม่อยากอยู่ด้วย) เป็นที่อยู่ของอมนุษย์ (คนไม่ดีมาอยู่รวมกัน) เป็นที่คร่ำครวญของคนหมู่มาก (หมดอาลัย) #ข้อ250_ปุคคลัปปสาทสูตร ว่าด้วยความเลื่อมใสเฉพาะบุคคล เมื่อความเลื่อมใสเกิดขึ้นกับเฉพาะบุคคลย่อมมีโทษ คือ เมื่อบุคลที่เราเลื่อมใสถูกยกวัตร ถูกสั่งให้นั่งท้าย ย้ายไปที่อื่น ลาสิกขา หรือทำกาละ จึงไม่เลื่อมใส ไม่คบภิกษุเหล่าอื่น จึงไม่ได้ฟังธรรม เป็นเหตุให้เสื่อมจากพระสัทธรรม พระไตรปิฎกเล่มที่ 22 พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ 14 [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต ทุจจริตวรรค Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

    54 min
  5. FEB 21

    ขณะที่ไม่สมควรอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ [6808-6t]

    ข้อที่ #28_ทุติยพลสูตร พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามท่านพระสารีบุตรถึงกำลังแห่งญาณของภิกษุขีณาสพว่า “ภิกษุขีณาสพมีกำลังเท่าไร จึงปฏิญญาความสิ้นอาสวะทั้งหลายว่า อาสวะของเราสิ้นแล้ว” ท่านพระสารีบุตรได้กราบทูลว่า.. ภิกษุขีณาสพเห็นด้วยปัญญาอันชอบว่า... สังขารทั้งปวงมีสภาวะไม่เที่ยง... กามทั้งหลายเปรียบด้วยหลุมถ่านเพลิงจิตของภิกษุขีณาสพเป็นธรรมชาติน้อมไปตั้งอยู่ในวิเวก(นิพพาน) ยินดีในเนกขัมมะ ปราศจากเงื่อนธรรม(ปราศจากตัณหาไม่มีความยึดถือ)สติปัฏฐาน 4 เป็นธรรมที่ภิกษุขีณาสพเจริญอบรมดีแล้วอิทธิบาท 4 ...ฯอินทรีย์ 5 ... ฯโพชฌงค์ 7 ... ฯอริยมรรคมีองค์ 8 ... ฯ  ข้อที่ #29_อักขณสูตร กาลที่ไม่ใช่ขณะ (ไม่ใช่โอกาส) ไม่ใช่สมัยที่จะอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ 8 ประการ คือ... ต่อให้มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติขึ้นและพระธรรมคำสอนยังมีอยู่ แต่ถ้าบุคคลนั้น... ตกอยู่ในนรก ก็ไม่ใช่ขณะ(ไม่ใช่โอกาส)ที่จะประพฤติพรหมจรรย์ได้ ... กำเนิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน...ฯ... เข้าถึงเปรตวิสัย...ฯ... เข้าถึงเทพนิกายเป็นอสัญญีสัตว์(พรหมลูกฟัก ไม่มีรูป ไม่มีสัญญา)...ฯ... เกิดในปัจจันตชนบท (คำสอนไปไม่ถึง)...ฯ... เกิดในมัชฌิมชนบท (มีภิกษุสงฆ์ มีคำสอน) แต่เป็นมิจฉาทิฏฐิ...ฯ... เกิดในมัชฌิมชนบทแต่เป็นคนมีปัญญาทราม ไม่สามารถจะรู้เนื้อความแห่งสุภาษิตและทุพภาษิตได้...ฯต่อให้ไม่มีพระพุทธเจ้าไม่มีพระธรรมแม้จะเกิดในมัชฌิมชนบทมีปัญญาดี ก็ไม่ใช่ขณะ(ไม่ใช่โอกาส)ที่จะประพฤติพรหมจรรย์ได้ **แต่ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่ควรแก่การประพฤติพรหมจรรย์มีประการเดียวเท่านั้นคือ ช่วงที่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติขึ้น มีพระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้ดีแล้ว ได้อัตภาพความเป็นมนุษย์มีปัญญาเป็นสัมมาทิฎฐิและอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ยังมีคำสอนอยู่(ยังมีสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี) ข้อที่ #30_อนุรุทธมหาวิตักกสูตร สมัยหนึ่งพระอนุรุทธะหลีกเร้นอยู่ในที่สงัดในป่าจีนวังสทายวัน ครั้งนั้น ท่านพระอนุรุทธเกิดความคิดอย่างนี้ว่า  นี้เป็นธรรม 4 ของบุคคลผู้มักน้อย (มักน้อยในปัจจัย, การบรรลุ, ปริยัตติ, ธุดงค์) ไม่ใช่ธรรมของบุคคลผู้มักมาก  นี้เป็นธรรมของบุคคลผู้สันโดษ ไม่ใช่ธรรม... ผู้ไม่สันโดษ  ... ผู้สงัด ไม่ใช่ธรรม... ผู้ยินดีในการคลุกคลี... ผู้ปรารภความเพียร ไม่ใช่ธรรม... ผู้เกียจคร้าน  ... ผู้มีสติตั้งมั่น ไม่ใช่ธรรม... ผู้หลงลืมสติ  ... ผู้มีใจตั้งมั่น ไม่ใช่ธรรม... ผู้มีใจไม่ตั้งมั่น   ... ผู้มีปัญญา ไม่ใช่ธรรมของบุคคลผู้มีปัญญาทราม พระผู้มีพระภาคทรงทราบความคิดของท่านพระอนุรุทธะด้วยพระทัยแล้ว ทรงหายจากที่เภสกฬามิคทายวันไปปรากฏต่อหน้าท่านพระอนุรุทธะที่ปาจีนวังสทายวัน ทรงรับรองมหาปุริสวิตกทั้ง 7 ข้อ และทรงบอกเพิ่มมหาปุริสวิตกข้อที่ 8 คือ นี้เป็นธรรมของบุคคลผู้ยินดีในนิปปปัญจธรรม ไม่ใช่ธรรมของบุคคลผู้ยินดีในปปัญจธรรม (ธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้า ตัณหา, มานะ, และทิฏฐิ) เมื่อตรึกในธรรมทั้ง 8 ประการนี้แล้ว มีฌานทั้ง 4 เป็นที่หวังได้ จะเป็นผู้ที่อยู่อย่างผาสุกในปัจจัย 4 คือ การใช้ปัจจัย 4 เป็นบาทฐานแห่งการบรรลุธรรม พระไตรปิฎกเล่มที่ 23 พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ 15 [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกายอัฏฐกนิบาต คหปติวรรค Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

    1 hr
  6. FEB 14

    ผู้ปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลตนเองและผู้อื่น [6807-6t]

    ความเดิมได้กล่าวถึงคุณธรรมที่น่าอัศจรรย์ของอุคคคฤหบดี ชาวกรุงเวสาลี, อุคคตคฤหบดี ชาวหัตถีคาม และ ตถกอุบาสก ชาวเมืองอาฬวี ซึ่งอุบาสกทั้ง 3 ท่านเป็นอริยบุคคล และถึงความเป็นเอตทัคคะ (ผู้เลิศ) ในด้านต่าง ๆ ข้อที่ #24_ทุติยหัตถกสูตร กล่าวถึงการสงเคราะห์บริษัทด้วยสังคหวัตถุ 4 ประการ ของท่านหัตถกอุบาสก และคุณธรรมที่น่าอัศจรรย์ของท่านหัตถกอุบาสกอีก 8 ประการ คือ เป็นผู้มีศรัทธา มีศีล มีหิริ-โอตตัปปะ เป็นพหูสูต มีจาคะ มีปัญญา และเป็นผู้มีความมักน้อย ข้อที่ #25_มหานามสูตร และ #26_ชีวกสูตร ทั้ง 2 พระสูตรนี้ กล่าวถึงคำถามของท่านมหานามะและหมอชีวกโกมารภัจ ที่ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าเกี่ยวกับคุณธรรมของอุบาสก โดยมีเนื้อหาที่เหมือนกันดังนี้ บุคคลชื่อว่าอุบาสก ด้วยเหตุเพียงเท่าไร => เป็นผู้ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ (ที่พึ่ง ที่ระลึกถึง)อุบาสกชื่อว่าผู้มีศีล ด้วยเหตุเพียงเท่าไร => ผู้มีศีล 5อุบาสกชื่อว่าผู้ปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลตนเอง แต่ไม่ปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลผู้อื่น ด้วยเหตุเพียงเท่าไร => ตนเองเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา (1) ศีล (2) จาคะ (3) เป็นผู้ประสงค์จะเห็นภิกษุ (4) ประสงค์จะฟังสัทธรรม (5) จำธรรมที่ฟังแล้วไว้ได้ (6) เป็นผู้พิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ฟังแล้ว (7) เป็นผู้รู้อรรถรู้ธรรมแล้วปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม (8) แต่ไม่ชักชวนผู้อื่นให้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา ฯลฯอุบาสกชื่อว่าผู้ปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลตนเองและเพื่อเกื้อกูลผู้อื่น ด้วยเหตุเพียงเท่าไร => ตนเองเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา ฯลฯ และ ชักชวนผู้อื่นให้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา ฯลฯ ข้อที่ #27_ปฐมพลสูตร ว่าด้วยกำลัง กล่าวถึงกำลังของบุคคลต่าง ๆ ดังนี้ เด็กมีการร้องไห้เป็นกำลังมาตุคามมีความโกรธเป็นกำลังโจรมีอาวุธเป็นกำลังพระราชามีอิสริยยศเป็นกำลังคนพาลมีการเพ่งโทษผู้อื่นเป็นกำลังบัณฑิตมีการไม่เพ่งโทษผู้อื่นเป็นกำลังคนผู้เป็นพหูสูตมีการพิจารณาเป็นกำลังสมณพราหมณ์มีขันติ (อธิวาสนขันติ คือยังมีอารมณ์โกรธอยู่ แต่อดกลั้นไว้ได้ ไม่แสดงสิ่งที่เป็นอกุศลทางกาย วาจา ใจ ออกไป) เป็นกำลัง *กำลังในที่นี้หมายถึง สิ่งที่เมื่อเราใช้มันแล้วจะเป็นประโยชน์แก่ตัวเรา **ประเด็นคือ เราจะพัฒนาเอาสิ่งไหนมาเป็นกำลังของเรา เป็นกำลังที่จะนำพาไปสู่ความเป็นอริยะได้ พระไตรปิฎกเล่มที่ 23 พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ 15 [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต คหปติวรรค Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

    55 min
  7. FEB 7

    ธรรมเครื่องอยู่เป็นสุข [6806-6t]

    “สมาธิ” คือเครื่องอยู่ที่จะทำให้เกิด “ความผาสุก” เป็นความสุขอีกประเภทที่เหนือกว่าสุขเวทนาและทุกขเวทนา ผาสุวิหารสูตร #ข้อ 94 ธรรมที่เป็นเครื่องอยู่ให้เกิดความผาสุก คือ สมาธิในขั้นที่ 1-4 (รูปฌาน) เป็นความพ้นจากกิเลสที่อาจจะยังกลับกำเริบได้ อุปไมยเหมือนหินทับหญ้า แต่ถ้าประกอบด้วยเจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติ คือไม่เร่าร้อนไปตามอำนาจกิเลส เป็นความสิ้นไปแห่งอาสวะนั่นเอง อกุปปสูตร #ข้อ 95 ผู้มีธรรมไม่กลับกำเริบ คือ ปฏิสัมภิทา 4 ปัญญาแตกฉานในอรรถ (เข้าใจความหมายได้หลายนัยยะ) ธัมมนิรุตติ (เข้าใจภาษาได้ลึกซึ้ง) ปฏิภาณ (ไหวพริบถาม-ตอบปัญหา) และการพิจารณาจิตตามที่หลุดพ้นแล้วในแต่ละขั้น ฝึกสังเกตเห็นการเกิด-ดับ เสริมปัญญาให้ถึงธรรมะที่ไม่กลับกำเริบได้ #ข้อ 96-98 ธรรม 5ประการนี้ เมื่อทำอานาปานสติก็จะบรรลุธรรมได้ไม่นานนัก มีไส้ในที่เหมือนกันอยู่ 4 ประการ คือมีธุระน้อย ไม่เห็นแก่ปากแก่ท้อง นอนน้อย พิจารณาจิตตามที่หลุดพ้นแล้ว ส่วนที่แตกต่างใน สุตธรสูตร #ข้อ 96 คือ เป็นพหูสูต ฟังธรรมมาก ส่วนใน กถาสูตร #ข้อ 97 คือ กถาวัตถุ 10 ทำให้จิตเปิดโล่ง มาคิดในทางที่จะทำให้เกิดการบรรลุธรรม และ อารัญญกสูตร #ข้อ 98 คือ อยู่ป่าเป็นวัตร เป็นผู้อยู่ด้วยความไม่ประมาท สีหสูตร #ข้อ 99 การแสดงธรรมของพระพุทธเจ้าที่เปรียบเทียบไว้ว่าเหมือน “ราชสีห์ บรรลือสีหนาท” คือ เป็นผู้หนักในธรรม เมื่อจะแสดงธรรมแก่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา และปุถุชน ก็จะแสดงโดยเคารพในธรรม พระไตรปิฎกเล่มที่ 22 พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ 14 [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต กกุธวรรค Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

    57 min
  8. JAN 31

    ธรรมที่น่าอัศจรรย์ของอุคคคหบดี [6805-6t]

    การสวดปาติโมกข์ หรือเรียกกันว่า “สงฆ์ทำอุโบสถ” เป็นการที่ภิกษุสงฆ์จะนำเอาพระวินัย 227 ข้อมาสวดทบทวนกันในทุกกึ่งเดือน ซึ่งในช่วง 20 พรรษาแรก ๆ หลังจากประกาศพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ด้วยพระองค์เอง และต่อมาในภายหลังมีเหตุให้พระองค์ทรงบัญญัติให้มีภิกขุปาฏิโมกข์  โดยพระสูตรข้อที่ #20_อุโปสถสูตร_ว่าด้วยเหตุที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงปาติโมกข์ เป็นการแสดงโอวาทปาติโมกข์ครั้งสุดท้ายของพระพุทธเจ้าที่วัดบุพพาราม ครั้งนั้นท่านพระอานนท์ได้กราบทูลให้พระพุทธเจ้าแสดงโอวาทปาติโมกข์ แต่พระองฺค์ไม่ทรงแสดงจนเวลาล่วงปัจฉิมยาม เหตุเพราะมีภิกษุผู้ทุศีลเข้าร่วมประชุม ดังนั้นเมื่อท่านพระโมคคัลลานะพอทราบจึงตรวจดูด้วยจิต แล้วจึงบังคับให้พระทุศีลรูปนั้นออกจากที่ประชุมไป หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงบัญญัติให้พระสงฆ์แสดงปาฏิโมกข์กันเอง โดยพระองค์ไม่ทรงเข้าร่วมอีกต่อไป และได้ทรงแสดงธรรมถึงสิ่งน่าอัศจรรย์ของมหาสมุทร 8 ประการ ซึ่งมีนัยยะหลักข้อธรรมเดียวกันกับ #ปหาราทสูตร ที่ได้กล่าวมาก่อนหน้านี้ พระสูตรข้อที่ 21-23 อยู่ในหมวดคหปติวรรค เป็นเรื่องราวธรรมที่น่าอัศจรรย์ของอุคคคหบดี และ หัตถกอุบาสก โดยในข้อที่ #21_ปฐมอุคคสูตร กล่าวถึง อุคคคหบดีชาวเมืองเวสาลี (อุบาสกผู้เลิศในด้านผู้ให้ของเจริญใจ) และในข้อที่ #22_ทุติยอุคคสูตร กล่าวถึง อุคคคหบดี ชาวบ้านหัตถิคาม (อุบาสกผู้เลิศในฝ่ายผู้อุปัฏฐากภิกษุสงฆ์) ซึ่งมีหลักธรรม 8 ประการที่มีความหมายเดียวแตกต่างกันในบทพยัญชนะเล็กน้อย ซึ่งเป็นเรื่องราวที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์คุณของคฤหบดีทั้ง 2 ท่านในหมู่ภิกษุสงฆ์ เป็นเหตุให้ภิกษุและคฤหบดีได้มีการสอบถามพูดคุยกันถึงคุณธรรมนั้นๆ ได้แก่ 1.    มีศรัทธาในพระพุทธเจ้า 2.    เมื่อได้ฟังอนุปุพพีกถา และ สามุกกังสิกเทศนาแล้วบรรลุเป็นโสดาบัน  3.    ถือพรหมจรรย์ 4.    จำแนกแจกจ่ายโภคทรัพย์กับผู้มีศีล 5.    เข้าไปนั่งใกล้โดยเคารพ 6.    ฟังธรรมโดยเคารพ / วางจิตสม่ำเสมอถวายทานแก่สงฆ์ (ไม่เจาะจง) 7.    เห็นธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว  8.    ละสังโยชน์เบื้องต่ำ 5 ประการได้แล้ว (อนาคามี) และในข้อที่ #23_ปฐมหัตถกสูตร กล่าวถึงหัตถกอุบาสก โดยพระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์คุณธรรมของอุบาสกผู้นี้ไว้ 7 ประการ (เป็นผู้มีศรัทธา / มีศีล / มีหิริ / มีโอตตัปปะ / เป็นพหูสูต / มีจาคะ /มีปัญญา) เป็นเหตุให้มีการสอบถามถึงคุณธรรมในข้อที่ 8 ที่พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ต่อมาในภายหลังคือ “ความเป็นผู้มักน้อย” เพราะเหตุที่หัตถกอุบาสกไม่ปรารถนาให้ผู้อื่นรู้คุณวิเศษที่มีในตนนั่นเอง พระไตรปิฎกเล่มที่ 23 พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ 15 [ฉบับมหาจุฬาฯ] อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต คหปติวรรค Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

    56 min

    About

    ในพระไตรปิฏกมีอะไร ทำความเข้าใจไปทีละข้อ, เปิดไปทีละหน้า, ให้จบไปทีละเล่ม, พบกับพระอาจารย์พระมหาไพบูลย์ อภิปุณโณ และ คุณเตือนใจ สินธุวณิก, ล้อมวงกันมาฟัง มั่วสุมกันมาศึกษา จะพบขุมทรัพย์ทางปัญญา ในช่วง "ขุดเพชรในพระไตรปิฏก". New Episode ทุกวันเสาร์ เวลา 05:00, Podcast นี้เป็นส่วนหนึ่งของรายการธรรมะรับอรุณ ออกอากาศทุกวันทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย (สวท.) มีคำถาม/ข้อเสนอแนะ หรือสมัครติดตามฟังทั้ง 7 รายการ ที่ panya.org Hosted on Acast. See acast.com/privacy for more information.

    More From Panya Bhavana Foundation

    You Might Also Like

    Content Restricted

    This episode can’t be played on the web in your country or region.

    To listen to explicit episodes, sign in.

    Stay up to date with this show

    Sign in or sign up to follow shows, save episodes, and get the latest updates.

    Select a country or region

    Africa, Middle East, and India

    Asia Pacific

    Europe

    Latin America and the Caribbean

    The United States and Canada